ในยามที่ราคาสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนคงรู้สึกว่าเงินในกระเป๋านั้นมีอำนาจซื้อลดลง นี่คือผลกระทบโดยตรงของ เงินเฟ้อ หรือที่เรามักเรียกกันว่าเป็น “ภาษีเงียบ” ที่ค่อย ๆ กัดกินมูลค่าของเงินออมของเราไปทีละน้อย แม้พอร์ตการลงทุนจะแสดงตัวเลขกำไร แต่หากกำไรนั้นน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ นั่นหมายถึงในความเป็นจริงแล้ว ความมั่งคั่งของเรากำลังลดลง การวางแผนการลงทุนในปัจจุบันจึงต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน คือการสร้างผลตอบแทนให้ชนะอัตราค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นให้ได้
ทำความเข้าใจ เงินเฟ้อคืออะไร และกินกำไรได้อย่างไร
การรู้เท่าทันกลไกของเงินเฟ้อคือจุดเริ่มต้นของการสร้างเกราะป้องกันทางการเงินที่แข็งแกร่ง
อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Rate of Return)
เมื่อมีการลงทุน สิ่งที่เราเห็นคือ อัตราผลตอบแทนตามตัวเลข (Nominal Return) เช่น การลงทุนได้กำไร 5% ต่อปี แต่หากอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% ต่อปี นั่นหมายความว่า อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง คือ 5% ลบด้วย 3% เหลือเพียง 2% เท่านั้น หากผลตอบแทนที่แท้จริงเป็นลบ นั่นแสดงว่าแม้จะมีเงินเพิ่มขึ้นตามตัวเลข แต่เรากลับมีอำนาจซื้อลดลง การวัดความสำเร็จของการลงทุนจึงต้องมุ่งเน้นที่การทำให้ผลตอบแทนที่แท้จริงเป็นบวกเสมอ
อันตรายของสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน
สินทรัพย์ที่ถูกกระทบจากเงินเฟ้อมากที่สุดคือ เงินสด หรือเงินฝากในบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยต่ำมาก เพราะดอกเบี้ยที่ได้รับมักต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้ออย่างมาก ทำให้มูลค่าของเงินออมเหล่านี้ลดลงอย่างแน่นอนในระยะยาว การปล่อยให้เงินอยู่เฉย ๆ จึงไม่ใช่ทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาความมั่งคั่งให้คงอยู่
กลยุทธ์การลงทุนเพื่อสร้างเกราะป้องกันเงินเฟ้อ
การป้องกันเงินเฟ้อต้องอาศัยการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณสมบัติในการปรับตัวหรือให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย
สินทรัพย์ที่ให้กระแสเงินสดและมีอำนาจต่อรองด้านราคา
การลงทุนใน หุ้น ของบริษัทที่มี “อำนาจต่อรองด้านราคา” ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญ บริษัทเหล่านี้สามารถปรับขึ้นราคาขายสินค้าหรือบริการได้ง่ายเมื่อต้นทุนเพิ่มขึ้น ทำให้รักษาส่วนต่างกำไรไว้ได้และเติบโตไปพร้อมกับเงินเฟ้อ เช่นเดียวกันกับ อสังหาริมทรัพย์ เพื่อปล่อยเช่า ซึ่งค่าเช่ามักมีการปรับเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ ทำให้เกิดกระแสเงินสดที่เติบโตและมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
การลงทุนในสินทรัพย์อิงสินค้าโภคภัณฑ์
ในช่วงที่เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ราคาของ สินค้าโภคภัณฑ์ หรือวัตถุดิบที่จำเป็น เช่น พลังงาน โลหะ หรืออาหาร มักจะปรับตัวสูงขึ้นด้วย การลงทุนผ่านกองทุนหรือเครื่องมือที่อิงกับราคาสินค้าเหล่านี้ จึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการสร้างเกราะป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ
การลงทุนในสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง (Hedge Assets)
ในบางประเทศ มีการออกตราสารหนี้ของรัฐบาลที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันเงินเฟ้อโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีการปรับมูลค่าของเงินต้นหรือผลตอบแทนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อ การจัดสรรเงินบางส่วนไปในสินทรัพย์ประเภทนี้ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโฟลิโอในยามที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน
การบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอในยุคเงินเฟ้อสูง
นอกจากการเลือกสินทรัพย์แล้ว การจัดการสัดส่วนการลงทุนอย่างมีหลักการก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
การกระจายความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด
การกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ที่ตอบสนองต่อเงินเฟ้อแตกต่างกัน ช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตโฟลิโอ ควรมีการผสมผสานระหว่างสินทรัพย์ที่เน้นการเติบโต เช่น หุ้น กับสินทรัพย์ที่เน้นการป้องกันความเสี่ยง เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ เพื่อให้พอร์ตมีความยืดหยุ่นและสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในทุกสภาวะเศรษฐกิจ
การพิจารณาการลงทุนระยะยาว
ความผันผวนของตลาดในช่วงเงินเฟ้อสูงอาจสร้างความกังวลได้ แต่ในระยะยาว ตลาดหุ้นทั่วโลกมักจะสามารถเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้เสมอ การยึดมั่นในวินัยการลงทุน และการทบทวนแผนการลงทุนเป็นระยะ แทนที่จะตื่นตระหนกตามข่าวสารในระยะสั้น จึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จทางการเงิน
เงินเฟ้อเป็นความจริงทางเศรษฐกิจที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การมีเงินออมที่เพิ่มขึ้นตามตัวเลขเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอต่อการสร้างความมั่นคงในชีวิต การเปลี่ยนทัศนคติจากการออมไปสู่ การลงทุนอย่างมีกลยุทธ์ ที่มุ่งสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น จึงจะทำให้ความมั่งคั่งเติบโตได้อย่างแท้จริง และทำให้พอร์ตโฟลิโอสามารถชนะค่าครองชีพได้อย่างยั่งยืน